เอ็นไอเอเผยข่าวดี ผลดัชนีความสามารถด้านนวัตกรรมของไทยขยับขึ้นต่อเนื่อง ติดอันดับ 4 กลุ่มประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางระดับบน พร้อมตั้งเป้าดันไทยติดท็อป 30 ในปี 2030 12 พฤศจิกายน 201912 ธันวาคม 2019it itบทความ (Article) 24 กรกฎาคม 2562 สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เผยผลการจัดทำดัชนีนวัตกรรมระดับโลก (Global Innovation Index – GII) ในปี 2562 ภายใต้ธีมด้านนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ (Creating Healthy Lives - The Future of Medical Innovation) ซึ่งจัดโดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (World Intellectual Property Organization) หรือ WIPO เพื่อรายงานความสามารถด้านนวัตกรรมของแต่ละประเทศ และปีนี้ถือเป็นปีที่ 12 พบว่า ในปีนี้ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 43 ขยับขึ้นจากเดิม 1 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า “ในปี 2019 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความสามารถด้านนวัตกรรมอยู่อันดับที่ 43 ขยับอันดับขึ้น 1 อันดับ จากปี 2018 โดยในปีนี้ประเทศไทยมีการปรับตัวดีขึ้นทั้งทางด้านปัจจัยเข้าทางนวัตกรรม (Innovation input sub-index) จากเดิมอันดับที่ 52 เลื่อนขึ้นเป็นอันดับที่ 47 และปัจจัยย่อยผลผลิตทางนวัตกรรม (Innovation output sub-index) ที่ปรับขึ้นจากอันดับที่ 45 เลื่อนขึ้นเป็นอันดับที่ 43 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางระดับบน (upper middle-income economies) ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4 จากจำนวน 34 ประเทศ ที่ประเทศไทยมีอันดับที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยในทุกปัจจัย ยกเว้นปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่หากเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 10 จากจำนวน 15 ประเทศ” สำหรับคะแนนในปีนี้ ประเทศไทยทำคะแนนได้ดีในหลายตัวชี้วัดจาก 5 ปัจจัยเสาหลัก อาทิ ประสิทธิการดำเนินดีในด้านเครดิตภายในประเทศที่มีต่อภาคเอกชน (อันดับ 12) การคุ้มครองผู้ลงทุน (อันดับ 14) การลงทุนในตลาด (อันดับ 10) การทำ R&D ที่มีแหล่งเงินจากภาคธุรกิจ (อันดับ 4) การนำเข้าสินค้าไฮเทค (อันดับ 12) สภาพแวดล้อมด้านการทำธุรกิจ (อันดับ 20) การเติบโตด้านผลิตภาพแรงงาน (อันดับ 14) และการส่งออกสินค้าเทคโนโลยี (อันดับ 8) รวมถึงตัวชี้วัดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านผลผลิตจากองค์ความรู้และเทคโนโลยี และปัจจัยด้านผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ ขณะที่ตัวชี้วัดที่ประเทศไทยยังมีข้อด้อยส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างปัจจัยเข้าทางนวัตกรรม เช่น สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ อัตราส่วนของครูและนักเรียน และการกู้ยืมรายย่อยในระดับไมโครไฟแนนซ์ เป็นต้น ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ดัชนี GII ประกอบด้วยดัชนีย่อย 2 ด้าน ได้แก่ ดัชนีย่อยปัจจัยเข้าทางนวัตกรรม (Innovation input sub-index) และ ดัชนีย่อยผลผลิตทางนวัตกรรม (Innovation output sub-index) โดยภายใต้ 2 ดัชนีย่อยนี้ ได้แบ่งองค์ประกอบออกเป็น 7 ปัจจัยเสาหลัก (Pillar) ได้แก่ 1) ปัจจัยด้านสถาบัน 2) ปัจจัยด้านทุนมนุษย์และการวิจัย 3) ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน 4) ปัจจัยด้านระบบตลาด และ 5) ปัจจัยด้านระบบธุรกิจ 6) ผลผลิตจากองค์ความรู้และเทคโนโลยี และ7) ผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ ทั้งนี้ GII นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งดัชนีสำคัญด้านนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ซึ่งสะท้อนความสามารถด้านนวัตกรรมของประเทศทั้งในปัจจัยย่อย การเปรียบเทียบเชิงเวลา และการเปรียบเทียบเชิงแข่งขัน” NIA ในฐานะหน่วยงานนำในการขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมของประเทศ ได้รับมอบหมายจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ให้ดำเนินการติดตามและเสนอแนะแนวทางการยกระดับและปรับปรุงอันดับของประเทศไทยในดัชนีนวัตกรรมระดับโลก โดยอาศัยการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมบนฐานของข้อมูล (Data-driven Innovation) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการจัดทำแพลตฟอร์มข้อมูลนวัตกรรมเพื่อติดตามข้อมูลปัจจัยด้านนวัตกรรมจากแหล่งต่างๆ ที่สะท้อนศักยภาพด้านนวัตกรรม อาทิ ข้อมูลผลงานนวัตกรรม ข้อมูลผู้ประกอบการนวัตกรรม ข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรม ที่จะนำไปสู่การส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์ข้อมูลในการสร้างและพัฒนาความเข้มแข็งของระบบนวัตกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของ NIA ในการขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมของประเทศ สำหรับผลการจัดอันดับในปีนี้ ถึงแม้ในปีนี้อันดับของประเทศไทยจะขึ้นเพียง 1 อันดับ แต่จะเห็นได้ว่ามีการปรับขึ้นทั้งในอันดับของปัจจัยเข้าทางนวัตกรรม และปัจจัยผลผลิตทางนวัตกรรม แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่ต่อเนื่องและสมดุลมากขึ้น การปรับโครงสร้างเชิงระบบของระบบวิจัย วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของประเทศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จะช่วยเชื่อมโยงปัจจัยเข้าและปัจจัยผลผลิตให้สมดุลมากขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับการทำงานร่วมกันที่ส่งผลต่ออันดับนวัตกรรมของประเทศไทย ทั้งนี้ NIA จะได้มีการดำเนินงานเพื่อวางแผนในการเร่งพัฒนาและปรับปรุงดัชนีนวัตกรรมของประเทศให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป Facebook iconFacebookTwitter iconTwitterLINE iconLine